มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักเกิดจากอะไร และรักษายังไงกันนะ?
สาเหตุของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักยังไม่เป็นที่แน่ชัด อาจจะเกิดจากการมีพันธุกรรมที่เปลี่ยนแปลงจากการส่งต่อในเครือญาติ หรือเกิดขึ้นเองในตัวบุคคลโดยที่ไม่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ก่อนหน้านี้ หรืออาจจะมีภาวะเสี่ยงจากการกินเนื้อสัตว์ปริมาณมาก กินผักน้อย หรือมีภาวะน้ำหนักเยอะเกินเกณฑ์ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงปัจจัยเสี่ยงเท่านั้น อาจจะไม่ได้ส่งผลโดยตรงในผู้ป่วยทุกราย
การเกิดของมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มมาจากการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ และทิ้งไว้ประมาณ 5-15 ปี โดยไม่ได้รับการรักษาหรือตัดออก ติ่งเนื้อเหล่านี้จะพัฒนาและเปลี่ยนรูปร่างหน้าตากลายเป็นมะเร็ง อีกทั้งพอกลายเป็นก้อนเนื้อมะเร็งจะค่อยๆกินลึกลงเข้าไปในชั้นผนังลำไส้ใหญ่ จนกระทั่งลุกลามเข้าไปในทางเดินน้ำเหลือง เส้นเลือด และเส้นประสาท จนทำให้มะเร็งกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง และกระจายตามกระแสเลือดไปหยุดและโตอยู่ที่ตับ หรือปอด จนกลายเป็นมะเร็งลำไส้ระยะลุกลามในที่สุด
จากข้างต้นจะเห็นว่าถ้าเราตัดไฟตั้งแต่ต้นลม โดยการเข้ามาตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักโดยการส่องกล้องและตัดติ่งเนื้อ มะเร็งลำไส้จะสามารถหายขาดได้ โดยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่หรือเสี่ยงต่อการมีทวารเทียมทางหน้าท้อง โดยทุกท่านสามารถเข้าไปอ่านบทความเรื่องถ่ายเป็นเลือด ซึ่งผมได้อธิบายลักษณะคนไข้และอาการที่เข้าข่ายภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ต้องเข้ารับการคัดกรองด้วยการส่องกล้อง
การรักษาจะแบ่งมะเร็งลำไส้เป็น 2 อย่างชนิด คือ มะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งลำไส้ตรง ซึ่งการรักษาจะแตกต่างกันเล็กน้อย ในที่นี้จะขอพูดมะเร็งในระยะที่ 1-3 ก่อนนะครับ (ยังไม่ใช่มะเร็งลำไส้ระยะแพร่กระจาย)
*** สิ่งที่คนไข้กังวลมากที่สุดคือ จะสามารถถ่ายทางก้นได้อีกไหม หรือจะสามารถผ่าตัดแบบเก็บก้นได้ไหม หมอต้องบอกให้เข้าใจแบบนี้ครับว่าการรักษาในปัจจุบันเรามีความรู้ความเข้าใจในตัวโรคมะเร็งมากขึ้น และพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดได้ดีมากขึ้น ส่งผลให้สามารถทำการผาตัดโดยการเก็บก้นได้มากขึ้น อีกทั้งยังได้ผลลัพธ์ทางมะเร็งวิทยาที่ดีอีกด้วย
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรงในปัจจุบัน เป็นการรักษาแบบเฉพาะตัวบุคคลมากขึ้น หมายถึงแม้ว่าคน 2 คนจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารนหักในระยะเดียวกัน แต่ลำดับขั้นตอนการรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางมะเร็งวิทยาที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้แต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน ขึ้นกับความรู้ ความเข้าใจของแพทย์และทีมแพทย์ที่ทำการรักษา
ต่อมาหมอจะพูดถึงการรักษามะเร็งลำไส้ระยะแพร่กระจาย…
มักจะมีคำถามที่ว่า “มะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย…ยังรักษาได้อีกไหม?”
ในอดีตมีความเข้าใจที่ว่าถ้าเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย หรือระยะแพร่กระจาย จะไม่สามารถรักษาได้ หรือไม่ก็รักษาด้วยยาเคมีบำบัดและเปลี่ยนสูตรไปเรื่อยๆ แล้วรอเวลาในวาระสุดท้ายอย่างเดียว
แต่เดี๋ยวก่อนครับ…ความเข้าใจแบบนี้ในปัจจุบันเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องซะทีเดียว
มะเร็งลำไส้แม้ว่าจะกระจายไปที่ตับหรือที่ปอดแล้วนั้น ยังสามารถรักษาได้ ถ้าตัวโรคมะเร็งสามารถผ่าตัดออกได้ทั้งหมด โดยจะต้องใช้ทีมหมอหลายๆแผนกมาช่วยกันดูแลผู้ป่วย เพราะถ้าสามารถผ่าตัดตัวโรคมะเร็งออกได้ทั้งหมด จะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตโดยที่ปราศจากโรคมะเร็งมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับให้การยาเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว หรือไม่ได้รับการรักษาใดๆเลย
อีกทั้งในปัจจุบันมีการพัฒนายาพุ่งเป้า(Targeted therapy) หรือยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน(Immuno-therapy) เพื่อมาสู้กับโรคมะเร็งลำไส้ โดยที่ผลลัพธ์มีตั้งแต่มะเร็งลำไส้มีขนาดเล็กลง โตช้าลง ทำให้ผู้ป่วยอยู่ได้นานมากขึ้น หรือจนถึงขนาดที่ว่ามะเร็งลำไส้หายไปทั้งหมดโดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดเลยก็มี และทำให้มีโอกาสอยู่รอดโดยปราศจากมะเร็งที่มากยิ่งขึ้น
เห็นไหมครับว่า…ปัจจุบันการรักษามะเร็งลำไส้มีการพัฒนาไปไกลมาก ไม่ใช่อยู่แค่ที่ว่าผ่าตัดได้หรือไม่ได้ หรือการให้ยาเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว แต่เรายังมีถ้าเลือกอีกหลายอย่างที่สามารถช่วยผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ ให้มีโอกาสอยู่รอดและปลาศจากโรคมะเร็งได้มากยิ่งขึ้น
การรักษามะเร็งลำไส้ในปัจจุบัน ควรจะมองไปถึงเรื่องพันธุกรรมของตัวมะเร็ง และการเลือกผู้ป่วยแต่ะละคนให้เหมาะสมกับประเภทการรักษามากที่สุด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย
รูป 1 มะเร็งลำไส้ตรงกินเข้าไปในมดลูก
รูป 2 มะเร็งลำไส้ตรงกินเข้าไปในมดลูก
รูป 3 เนื้องอกมะเร็งลำไส้ใหญ่(ภายในลำไส้ใหญ่)
รูป 4 เนื้องอกมะเร็งลำไส้ใหญ่(ภายในลำไส้ใหญ่)
รูป 5 แผลผ่าตัดผ่านกล้อง หลังผ่าตัด 6 อาทิตย์
รูป 6 แผลผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง หลังผ่าตัด 6 อาทิตย์